เรื่อง ภาษีอากรเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับเจ้าของกิจการ , ผู้ทำบัญชี หรือ เจ้าหน้าที่บัญชีเป็นอย่างมาก เนื่องจากหากขาดความรู้ความเข้าใจ หรือ ขาดการติดตามการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายภาษีอากร บางครั้งอาจจะทำให้ กิจการเสียผลประโยชน์ได้ ทั้งๆ ที่ไม่ควรจะเสียไป ซึ่งการประมาณการกำไรสุทธิ และการยื่นแบบแสดงรายการ ภงด.51 ก็ เช่นเดียวกันที่เจ้าของกิจการ , ผู้ทำบัญชี หรือ เจ้าหน้าที่บัญชี ต้องมีความเข้าใจ และทราบถึงข้อกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ด้วย
เมื่อธุรกิจจดทะเบียนเป็นบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทำหน้าที่ในการเสียภาษี เงินได้นิติบุคคลในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี โดยในแต่ละปี จะต้องเสีย 2 ครั้ง โดยในช่วงกลางปี จะเป็นการยื่นแบบแสดง รายการ ภงด. 51 และช่วงปลายปี จะเป็นการยื่นแบบแสดงรายการ ภงด. 50 โดยการนำรายได้มาหักรายจ่าย และค่า ลดหย่อนอื่นๆ เพื่อแสดงยอดกำไรสุทธิประจำงวด จากนั้นนามาคำนวณตามอัตราภาษีตามแต่ประเภทของกิจการ ตาม อัตราที่กฎหมายกำหนด
1. ภงด. 51คืออะไร
ภงด. 51 คือ แบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งใช้กับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี จากการประมาณการกำไรสุทธิหรือจากกำไรสุทธิ กรณีเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์
2. กำหนดระยะเวลำกำรยื่นแบบภงด.51
กำหนดระยะเวลาการยื่นแบบ ภงด. 51 นั้น ให้ดูจากรอบระยะเวลาบัญชี โดยจะต้องชำระภายใน 2 เดือนนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชี เช่น
รอบระยะเวลาบัญชี | ระหว่างวันที่ | วันสุดท้ายของรอบ ระยะเวลา 6 เดือน | ต้องยื่นภายในวันที่ |
รอบระยะเวลาบัญชีปกติ | 1 มกราคม – 31 ธันวาคม | 30 มิถุนายน | 31 สิงหาคม |
รอบระยะเวลาอื่น (ตัวอย่าง) | 1 กุมภาพันธ์ – 31 มกราคม | 31 กรกฎาคม | 30 กันยายน |
รอบระยะเวลาอื่น (ตัวอย่าง) | 1 มีนาคม – 28 กุมภาพันธ์ | 31 สิงหาคม | 31 ตุลาคม |
รอบระยะเวลาอื่น (ตัวอย่าง) | 1 เมษายน – 31 มีนาคม | 30 กันยายน | 30 พฤศจิกายน |
รอบระยะเวลาอื่น (ตัวอย่าง) | 1 พฤษภาคม – 30 เมษายน | 31 ตุลาคม | 31 ธันวาคม |
รอบระยะเวลาอื่น (ตัวอย่าง) | 1 มิถุนายน – 31 พฤษภาคม | 30 พฤศจิกายน | 31 มกราคม |
รอบระยะเวลาอื่น (ตัวอย่าง) | 1 กรกฎาคม – 30 มิถุนายน | 31 ธันวาคม | 28 กุมภาพันธ์ |
รอบระยะเวลาอื่น (ตัวอย่าง) | 1 สิงหาคม – 31 กรกฎาคม | 31 มกราคม | 31 มีนาคม |
รอบระยะเวลาอื่น (ตัวอย่าง) | 1 กันยายน – 31 สิงหาคม | 28 กุมภาพันธ์ | 30 เมษายน |
รอบระยะเวลาอื่น (ตัวอย่าง) | 1 ตุลาคม – 30 กันยายน | 31 มีนาคม | 31 พฤษภาคม |
รอบระยะเวลาอื่น (ตัวอย่าง) | 1 พฤศจิกายน – 31 ตุลาคม | 30 เมษายน | 30 มิถุนายน |
รอบระยะเวลาอื่น (ตัวอย่าง) | 1 ธันวาคม – 30 พฤศจิกายน | 31 พฤษภาคม | 31 กรกฎาคม |
***สําหรับกิจการที่รอบระยะเวลาบัญชีไม่ใช่วันแรกของเดือน ก็ใช้การคํานวณตามที่กําหนด
3.อัตราคํานวณภาษี
ลําดับ ที่ |
คําอธิบายการใช้อัตราในการคํานวณภาษี | กําไรสุทธิ | อัตราภาษี ร้อยละ |
1 | กรณีทั่วไป ตาม พ.ร.บ. (ฉบับที่ 42) พ.ศ. 2559 | ทั้งจํานวน | 20 |
2 | (2.1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีทุนที่ชําระแล้วในวันสุดท้ายของ รอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากากรขายสินค้าและ การให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา 1 สําหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป ตาม พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 530) แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 583) และ พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 603) | ไม่เกิน 300,000 เกิน 300,000 แต่ไม่เกิน 3,000,000 เกิน 3,000,000 ขึ้นไป |
ยกเว้น 15 20 |
(2.2) กิจการนําเข้าส่งออกที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงพลังงานให้ค้าน้ํามัน เชื้อเพลิง ตาม พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 426) | ทั้งจำนวน | 10 | |
(2.3) กิจการศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศ ตาม พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 518) | ทั้งจำนวน | 15 | |
(2.4) กิจการสํานักงานปฏิบัติการภูมิภาค (ROH) ตาม พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 405) แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 508) และ พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 535) | ทั้งจำนวน | 10 | |
(2.5) กิจการสํานักงานใหญ่ข้ามประเทศ (IHQ) ตาม พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 586) | ทั้งจำนวน | 10 | |
(2.6) กิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ตาม พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 624) | ทั้งจำนวน | 3 | |
(2.7) กิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ตาม พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 591) | ทั้งจำนวน | 10 | |
(2.8) กิจการอื่นที่มิได้ระบุไว้ใน (2.1)-(2.7) | ตามอัตราที่กฎหมายกำหนด | ||
3 | กรณีได้รับอนุมัติจากกรมสรรพากรให้เสียภาษีจากยอดรายรับก่อนหักรายจ่าย ให้เสียภาษีร้อยละ 5 ของยอดรายรับ | ||
4 | กรณีประกอบกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามกฎหมาย เช่น กิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน กิจการขนส่งสินค้าทางทะเล ระหว่างประเทศ ตาม พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 314) กิจการวิสาหกิจเพื่อสังคม ตาม พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 621) กิจการส่งเสริมผู้ประกอบการราย ใหม่ (New Start-up) ตาม พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 602) และ (ฉบับที่ 637) กิจการระหว่างประเทศ (ITC) ตาม พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 587) กิจการส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ (New Start-up) ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจตาม พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 627) และกิจการอื่นที่มิได้ระบุ |
- หากถึงกําหนดยื่นแบบแสดงรายการ และไม่ได้ยื่นแบบตามกําหนด หรือ ยื่นล่าช้า
4.1 กรณีมีภาษีต้องเสีย ผู้ประกอบการจะต้องรับผิด ในการเสียเงินเพิ่มจากภาษีที่ต้องชําระอีกร้อยละ 20 4.2 กรณีไม่มีภาษีต้องเสีย ผู้ประกอบการจะต้องระวางโทษปรับ ในอัตราค่าปรับไม่เกิน 2,000 บาท เว้นแต่จะ แสดงว่าได้มีเหตุสุดวิสัย
- กรณียื่นแบบและชําระภาษีจากประมาณการกําไรสุทธิ แล้วแสดงประมาณการกําไรสุทธิ ขาดเกินร้อยละ 25 ของกําไรสุทธิ จะต้องปฏิบัติอย่างไร
กรณียื่นแบบและชําระภาษีจากประมาณการกําไรสุทธิ แล้วแสดงประมาณการกําไรสุทธิ ขาดเกินร้อยละ 25 ของ กําไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นโดยไม่มีเหตุผลอันควร กิจการจะต้องยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีเพิ่มเติม โดย จะมีความรับผิดที่ต้องเสีย ดังนี้
5.1 กรณียื่นแบบและชําระภาษีจากประมาณการกําไรสุทธิ แล้วแสดงประมาณการกําไรสุทธิ ขาดเกินร้อยละ 25 ของกําไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นโดยไม่มีเหตุผลอันควร ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของภาษีที่ชําระไว้ขาด
5.2 กรณียื่นแบบและชําระภาษีจากกําไรสุทธิจริง แล้วแสดงรายการและชําระภาษีไม่ถูกต้องโดยไม่มีเหตุอันควร ทําให้ชําระภาษีขาดไป ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของภาษีที่ชําระไว้ขาด
5.3 กรณีบริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการ โดยไม่ได้รับ คําเตือน หรือค่าเรียกตรวจสอบไต่สวน โดยตรงเป็นหนังสือ ให้กิจการสามารถลดเงินเพิ่มได้ แต่ต้องเสียในอัตราและตามเงื่อนไข
ดังต่อไปนี้
(ก) ถ้าชําระภายใน 2 วัน นับแต่วันพ้นกําหนดเวลายื่นรายการ ให้เสียร้อยละ 0.10 ของเงินภาษี ที่ต้องชําระ (ข) ถ้าชําระภายหลัง 2 วัน แต่ไม่เกิน 7 วัน นับแต่วันพ้นกําหนดเวลายื่นรายการ ให้เสียร้อยละ 0.50 ของเงินภาษี ที่ต้องชำระ
*** หากได้มีการประมาณการกําไรสุทธิ ขาดไปเกินกว่า 25% ของกําไรสุทธิที่เกิดขึ้นจริงเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี กิจการ จะต้องเสียเงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ตามอัตราที่กําหนดข้างต้น ของจํานวนเงินภาษีที่จะต้องชําระ จากประมาณการกําไรสุทธิขาดไป แต่ก็ยังมีข้อผ่อนปรนกรณียื่นประมาณการกําไรสุทธิขาดไปเกินกว่า 25% หากมีเหตุอัน สมควรตามที่กรมสรรพากรได้กําหนดไว้ กิจการก็ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม 20% หรือหากได้ประมาณการกําไรสุทธิขาดไปเกิน กว่า 25% โดยไม่เข้าข่ายเหตุอันสมควร กฎหมายก็ได้มีทางออก ที่จะทําให้กิจการไม่ต้องเสียเงินเพิ่มถึง 20% หากเข้า หลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายกําหนด
- เหตุอันควรที่กรมสรรพากรยอมรับ กรณีกิจการได้มีการประมาณการกําไรสุทธิ ตามแบบ ภงด.51 ขาดเกินไป กว่า 25% แต่ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม 20% สรุปได้ดังนี้
หลักทรัพย์
6.1 เสียภาษีไว้ไม่น้อยกว่า ครึ่งหนึ่ง ของภาษีที่ชําระตามแบบ ภงด. 50 ของรอบระยะเวลาบัญชีในปีที่ผ่านมา 6.2 อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดปกติ
6.3 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมลดต่ําลง ทําให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยต่ําลงตาม
6.4 ค่าใช้จ่ายลดต่ําลง
เนื่องจากกิจการได้มีการปรับปรุงการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพขึ้น
6.5 การส่งสินค้าออกมีความไม่แน่นอน ทั้งปริมาณและราคาสินค้า
6.6 ปริมาณและราคาของสินค้าที่ขายเพิ่มสูงขึ้นเกินความคาดหมาย
6.7 การรับค่าจ้างที่มีค่าจ้างไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับผู้ว่าจ้างและความยากง่ายของงานที่ทํา
6.8 มีกําไรหรือขาดทุนจากการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อย่างผิดปกติ ในกรณีที่บริษัทไม่ได้ประกอบกิจการ
7. การคํานวณประมาณการกําไรสุทธิขาดเกินไปร้อยละ 25 คํานวณอย่างไร

ถ้าผลลัพธ์ที่ได้มากกว่า 25 หมายความว่า ได้ประมาณการกําไรสุทธิขาดเกินไป กิจการต้องยื่นแบบแสดงรายการ ภาษี ภงด. 51 (ยื่นเพิ่มเติม) โดยยื่นภาษีที่ยื่นขาดไป และเงินเพิ่มตามอัตราที่กฎหมายกําหนด และนําส่ง ณ สํานักงาน สรรพากรที่สถานประกอบการตั้งอยู่
ตัวอย่าง 1 กิจการประมาณการกําไรสุทธิไว้ 200,000 บาท ได้ยื่นแบบแสดงรายการ ภงด. 51 ไว้ 20,000 บาท (สมมติ กิจการต้องเสียภาษีในอัตรา 20%) ต่อมาในปลายปี กิจการได้มีการปิดรอบระยะเวลาบัญชี ปรากฏว่ามีกําไรสุทธิ 250,000 บาท
การคํานวณตามสูตรข้างต้น ดังนี้

จะได้ผลลัพธ์ เท่ากับ 20 ดังนั้น แสดงว่าประมาณการกําไรสุทธิขาดไปไม่เกินกว่าร้อยละ 25
ตัวอย่าง 2 กิจการประมาณการกําไรสุทธิไว้ 200,000 บาท ได้ยื่นแบบแสดงรายการ ภงด. 51 ไว้ 20,000 บาท (สมมติ กิจการต้องเสียภาษีในอัตรา 20%) ต่อมาในปลายปี กิจการได้มีการปิดรอบระยะเวลาบัญชี ปรากฏว่ามีกําไรสุทธิ 270,000 บาท
การคํานวณตามสูตรข้างต้น ดังนี้

จะได้ผลลัพธ์ เท่ากับ 25.93 ดังนั้น แสดงว่าประมาณการกําไรสุทธิขาดไปเกินกว่าร้อยละ 25 ซึ่งกิจการจะต้องยื่นแบบแสดง รายการภาษี ภงด.51 (ยื่นเพิ่มเติม) โดยยื่นภาษีที่ยื่นขาดไป ดังการคํานวณตามท้ายนี้
ประมาณการกําไรสุทธิตาม ภงด. 51 | 200,000.00 บาท |
กึ่งหนึ่งของประมาณการกําไรสุทธิ | 100,000.00 บาท |
คํานวณภาษี (100,000.00 x 20/100) (ภงด.51) | 20,000.00 บาท |
กําไรสุทธิตาม ภงด. 50 | 270,000.00 บาท |
กึ่งหนึ่งของกําไรสุทธิ | 135,000.00 บาท |
คํานวณภาษี (135,000.00 x 20/100) | 27,000.00 บาท |
ภาษีที่ยื่นขาดไป (27,000.00 – 20,000.00) | 7,000.00 บาท |
เงินเพิ่ม 20% ของภาษีที่ชําระขาดไป (7,000.00 x 20%) | 1,400.00 บาท |
- กรณีที่ยื่นแบบแสดงรายการ ภงด. 51 มีการเสียภาษี แต่ผลประกอบการเมื่อวันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี ปรากฏ ว่ากิจการมีผลประกอบการขาดทุน
ในกรณีดังกล่าว เมื่อกิจการมีการประมาณการว่าจะมีกําไรสุทธิ แต่เมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี ปรากฏว่ากิจการมี ผลประกอบการขาดทุน กิจการไม่ต้องเสียเงินเพิ่มแต่ประการใด และหากกิจการมีความประสงค์ที่จะขอคืนเงินภาษีดังกล่าว ในแบบแสดงการเสียภาษี ภงด. 50 ให้แสดงความจํานงค์ในการขอเงินภาษีที่ยื่นเกินไปคืนได้ ทั้งนี้ ภาษีเงินได้นิติบุคคลจ่าย ล่วงหน้า ดังกล่าว หากกิจการมีความประสงค์ที่จะขอคืนภาษี จะต้องทําเรื่องขอคืนแบบปีต่อปี ไม่มีการยกยอดไปในปีต่อไป
ซึ่งสิ่งที่เจ้าของกิจการทุกท่านต้องควรระวัง คือ การเสียภาษีให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกําหนด และต้องมั่นใจว่าการจัดทํา บัญชีของกิจการ ถูกต้องตามหลักบัญชีที่รับรองโดยทั่วไป และตามประมวลรัษฎากร
*** หากกิจการไม่มีความประสงค์จะขอคืนเงินภาษีดังกล่าว ในปีถัดไป ก็ต้องตัดเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้ามทางภาษี
และนํามาบวกกลับในการคํานวณกําไร (ขาดทุน) สุทธิทางภาษีอากร